ส่งของไปอินโดนีเซียยังไงให้ผ่านฉลุย มีโอกาสขายดี ?

Last updated: 22 ต.ค. 2568  |  19 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ส่งของไปอินโดนีเซียยังไงให้ผ่านฉลุย มีโอกาสขายดี ?

การส่งออกสินค้าไปยัง “ประเทศอินโดนีเซีย” ไม่ใช่แค่การขนของข้ามพรมแดน แต่คือการวางกลยุทธ์เพื่อรุกตลาดที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 4 ของโลก และมีพฤติกรรมผู้บริโภคเฉพาะตัว หากคุณคือผู้ประกอบการไทยที่กำลังมองหาโอกาสทางธุรกิจ บทความนี้จะพาคุณเข้าใจการส่งของไปอินโดนีเซียตั้งแต่ “ภาษี–ศุลกากร–โลจิสติกส์–ช่องทางขาย” ไปจนถึงการปรับสินค้าให้โดนใจตลาดอินโดฯ อย่างแท้จริง

รู้จักตลาดอินโดนีเซียก่อน: โอกาสมหาศาลที่ต้องเข้าให้ถูกทาง

อินโดนีเซียเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่ยังเปิดรับสินค้าไทยหลากหลายประเภท เช่น เครื่องสำอาง อาหารแปรรูป อุปกรณ์ก่อสร้าง และสินค้าสุขภาพ ความท้าทายคือผู้บริโภคอินโดนีเซียมีความเป็น “มุสลิม” เป็นหลัก จึงให้ความสำคัญกับ “สินค้า Halal” และความโปร่งใสของฉลาก ส่วนพฤติกรรมการซื้อของมักผ่าน Online Marketplace เช่น Tokopedia, Shopee และ Lazada Indonesia

Tip: สินค้าที่ต้องการตีตลาดอินโดนีเซีย ควรมีฉลาก Bahasa Indonesia และได้รับการรับรอง Halal จาก BPJPH (หน่วยงานอินโดนีเซีย) จะเพิ่มความเชื่อถือได้อย่างมาก

ขั้นตอนการส่งของไปอินโดนีเซีย: ทำให้ถูกต้องตั้งแต่ต้นทาง

1. ตรวจสอบข้อกำหนดสินค้านำเข้า

อินโดนีเซียมี “บัญชีสินค้าควบคุม” (Restricted/Prohibited Import List) เช่น อาหารสด สินค้าใช้แล้ว เครื่องสำอางที่ไม่มี อย.
ต้องตรวจสอบว่า HS Code ของสินค้าที่จะส่งอยู่ในประเภทใด เพื่อเตรียมเอกสารให้ถูกต้อง

2. เตรียมเอกสารสำคัญสำหรับศุลกากรอินโดฯ

Commercial Invoice และ Packing List
ใบตราส่ง (Bill of Lading หรือ Air Waybill)
ใบรับรองถิ่นกำเนิด (Form D สำหรับ AFTA)
ใบรับรอง Halal (ถ้ามี)
หนังสือมอบอำนาจ (ถ้าใช้เอเย่นต์ศุลกากรท้องถิ่นดำเนินการแทน)
 
3. เลือกช่องทางส่งของไปอินโดนีเซียที่เหมาะสม
หากเป็นสินค้าจำนวนมากหรือราคาต่อหน่วยต่ำ ควรใช้ เรือขนส่งแบบ FCL/LCL ผ่านท่าเรือ Tanjung Priok (Jakarta) หรือ Tanjung Perak (Surabaya)
หากเป็นสินค้ามูลค่าสูงหรือเร่งด่วน ใช้ Air Freight ผ่านสนามบิน Soekarno-Hatta
 
Tip: ค่าภาษีขาเข้าอินโดนีเซีย (Import Duty) อยู่ที่ประมาณ 5–25% แล้วแต่ประเภทสินค้า และยังมี VAT 11% เพิ่มเติม ต้องคำนวณราคาขายปลายทางให้คุ้ม
 
ภาษีและศุลกากร: อะไรบ้างที่ต้องรู้ให้รอบก่อนส่งของไปอินโดนีเซีย

• Import Duty (Bea Masuk): คิดตาม HS Code โดยสามารถใช้ FTA (Form D) เพื่อลดภาษีได้
• VAT (PPN): สินค้านำเข้าต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม 11%
• ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (PPh): หากไม่มีใบอนุญาตนำเข้าแบบพิเศษ อาจถูกเรียกเก็บเพิ่ม

แนวทางเลี่ยงภาษีซ้ำซ้อน: แนะนำให้ใช้ Local Importer หรือ Distributor ที่มี "API-U" (Angka Pengenal Importir – Umum) ซึ่งเป็นใบอนุญาตนำเข้าสำหรับสินค้าทั่วไป จะช่วยลดต้นทุนภาษีลงได้

ช่องทางขายในอินโดนีเซีย: จะไปเดี่ยวหรือมีพาร์ตเนอร์ก็สำคัญ

     Online Marketplace:

Shopee, Tokopedia, Bukalapak – เหมาะสำหรับสินค้าความงาม แฟชั่น อาหารสุขภาพ
สามารถเปิดร้านผ่าน Crossborder Platform ได้ แต่ต้องระวังค่าธรรมเนียมสูง

     Local Distributor / Agent:

เหมาะกับสินค้าที่ต้องมีบริการหลังการขาย เช่น อุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่องจักร
ควรเลือกพาร์ตเนอร์ที่มี “Import License” และเครือข่ายค้าปลีกในอินโดฯ

ปรับสินค้าให้โดนใจชาวอินโดนีเซีย

• ฉลากต้องเป็น Bahasa Indonesia (ตามกฎหมายฉลากสินค้าของ BPOM)
• ภาพลักษณ์ต้องสื่อถึง “ความน่าเชื่อถือและความสะอาด”
• ราคาไม่ควรสูงเกินสินค้าท้องถิ่นมากนัก ถ้าไม่ใช่สินค้าพรีเมียม
• สินค้ามีตรา Halal จะได้เปรียบทันทีในตลาดมุสลิม

ตัวอย่างความสำเร็จ: สินค้าจากไทยเช่น ยาหม่อง, อาหารแห้ง, เวชสำอาง และสินค้าแม่และเด็กที่มีตรา Halal มักขายดีใน Shopee อินโดนีเซีย

ถ้าอยากส่งของไปอินโดนีเซียให้ผ่านฉลุย ต้องคิดแบบมือโปร

• ตรวจสอบข้อกำหนดสินค้านำเข้าตาม HS Code
• เตรียมเอกสารศุลกากรให้ครบ พร้อมหาพาร์ตเนอร์ที่มี API-U
• เข้าใจโครงสร้างภาษีและ VAT เพื่อคำนวณราคาขายที่แท้จริง
• เลือกช่องทางขายให้เหมาะกับสินค้า
• ปรับฉลากและภาพลักษณ์สินค้าให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมผู้บริโภคอินโดฯ

หากคุณต้องการขยายตลาดไปยังประเทศอินโดนีเซียอย่างมั่นใจ การวางแผนส่งออกตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางคือหัวใจสำคัญ อย่ามองว่าเป็นแค่การส่งของ แต่ให้มองว่าเป็นการ “สร้างแบรนด์และช่องทางระยะยาว” ในตลาดที่มีโอกาสมหาศาล

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้